Categories
focus on travel

เขากระโจม จุดชมวิวทะเลหมอกที่สวยที่สุดของราชบุรี

               เมื่อเอ่ยชื่อ เขากระโจม คนในจังหวัดราชบุรีและจังหวัดใกล้เคียงมักจะรู้กันดีว่า ที่นี่คือจุดชมวิวทะเลหมอกที่สวยที่สุดของราชบุรี ซึ่งนอกจากจะมีทะเลหมอกสวยๆ ให้ได้ชมกันแล้ว ที่นี่ก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอีกมากมายที่ใครไปถึงราชบุรีแล้วก็ไม่ควรพลาดเด็ดขาด

เขากระโจม จุดชมวิวทะเลหมอกที่สวยที่สุดของราชบุรี

              เขากระโจม นับเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ใครได้ไปแล้วจะต้องหลงรัก แม้จะต้องฝ่าฟันขึ้นไปด้วยความยากลำบากอยู่บ้างก็ตาม เพราะที่นี่ถือว่าเป็นยอดเขาที่มีความสูงที่สุด โดยตั้งอยู่บนเทือกเขาตะนาวศรี ในเขตบ้านผาปก ตำบลสวนผึ้ง อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี

             ชื่อของเขากระโจมนั้นเป็นที่รู้จักกันมานานมากแล้วสำหรับคนในระแวกนี้ โดยชาวบ้านในพื้นที่ได้มีการเล่าต่อๆ กันมาว่า เมื่อก่อนในพื้นที่นี้มีจะมีชาวกะเหรี่ยงมาอาศัยอยู่ โดยในเวลานั้นพวกเขาเรียกเขาลูกนี้ว่า เขาลันดา ซึ่งมีความหมายว่า ภูเขาที่มีความราบ แต่ต่อมาก็ได้มีคนไทยเข้าไปทำเหมืองแร่ ทำให้ได้รู้ถึงรูปร่างลักษณะของภูเขาว่ามีความคล้ายกับกระโจม จึงเปลี่ยนชื่อใหม่โดยใช้ชื่อว่า เขากระโจม แทน

เขากระโจม จุดชมวิวทะเลหมอกที่สวยที่สุดของราชบุรี

               เขากระโจม เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในเรื่องของการเป็นจุดชมวิวทะเลหมอก ที่สามารถมองเห็นบริเวณรอบๆ ได้อย่างสวยงาม ทั้งยังเดินทางสะดวก เพราะอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก แต่ด้วยความสูงของภูเขาที่สูงถึง 1,045 เมตร จึงทำให้การขึ้นไปยังจุดชมวิวเขากระโจม อาจมีความยากลำบากบ้าง เพราะหากวัดระยะทางจากตีนเขาถึงบนยอดเขา ก็ประมาณ 10 กิโลเมตร เลยทีเดียว การเดินทางจะต้องใช้รถ 4 ล้อขึ้นไป แต่สำหรับใครที่ไม่อยากขับรถขึ้นไปเอง ก็มีรถบริการขึ้นไปสู่ยอดเขากระโจมด้วยเช่นกัน

เขากระโจม จุดชมวิวทะเลหมอกที่สวยที่สุดของราชบุรี

                  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าไฮไลท์ของที่นี่จะต้องอยู่ในช่วงฤดูหนาวแน่ๆ เพราะเป็นช่วงที่จะมีทะเลหมอกให้ได้เห็นกันมากที่สุด ทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวเขากระโจมกันมากเป็นพิเศษ ซึ่งที่นี่ก็เหมาะมากๆ กับนักท่องเที่ยวที่ต้องการจะชมพระอาทิตย์ขึ้นและตก ท่ามกลางทะเลหมอกสวยๆ สุดตระการตา แถมยังมีลานกางเต็นท์ไว้ให้สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการมานอนแคมปิ้งรอดูทะเลหมอกกันแบบชิลๆ อีกด้วย โดยบริเวณจุดสูงสุดของเขากระโจม จะมีการแบ่งเส้นเขตแดนระหว่างไทยและพม่าเอาไว้อย่างชัดเจน

                พูดได้เลยว่าหากใครที่เป็นสายแอดเวนเจอร์ รักการท่องเที่ยวแบบผจญภัยอยู่แล้ว ถ้าได้มาเที่ยวที่เขากระโจมแห่งนี้ จะต้องได้พบกับความสนุก และได้รับความประทับใจกลับไปอย่างแน่นอน

ติดตามสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจได้ที่ Focus on travel
เวปไซด์ focusontour.com และติดตามต่อกันได้ที่ FB: กิน นอน เที่ยว

Categories
focus on travel

ชมทะเลหมอกเมืองจันท์ ณ ยอดหินกูบ

                  ใครที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวแนวธรรมชาติ ได้สัมผัสกับสายลม แสงแดด และต้นไม้เขียวชอุ่ม วันนี้เราจะพาไปค้นหาความงามในป่าใหญ่ที่มีชื่อว่า หินกูบ สถานที่ท่องเที่ยวบนป่าเขาสอยดาว ในเขตพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ดินแดนแห่งผลไม้อันเลื่องชื่อ

ชมทะเลหมอกเมืองจันท์ ณ ยอดหินกูบ

                  เส้นทางสู่ยอดหินกูบ ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงและป่าทึบ ซึ่งในช่วงเวลาเย็นจะเกิดภาพที่งดงามจนได้ชื่อว่าเป็นจุดชมทะเลหมอกที่งามที่สุดในภาคตะวันออกเลยทีเดียว ที่นี่เป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว โดยจะต้องไปเริ่มต้นเดินป่าที่หน่วยพิทักษ์ป่าทุ่งเพล และการเดินป่าแต่ละครั้ง

ต้องติดต่อคนนำทางที่ชำนาญเส้นทาง พร้อมอุปกรณ์เดินป่าที่เหมาะสมโดยเฉพาะหากเป็นป่าดิบชื้นแบบนี้ ยิ่งจำเป็นต้องมีอุปกรณ์ให้ครบ ทั้งเสื้อกันฝน เสื้อกันหนาว ถุงนอน เต็นท์ เตาแก๊ส รองเท้าเดินป่า และเป้บรรจุสัมภาระจำเป็นอื่นๆ

ชมทะเลหมอกเมืองจันท์ ณ ยอดหินกูบ

                  ช่วงเริ่มต้นของการเดินป่า สภาพเส้นทางยังเป็นที่ราบ เดินได้สบายๆ ไม่เหนื่อยล้าเท่าไหร่ และเมื่อเดินขึ้นไปสูงขึ้นเรื่อยๆ จะได้พบป่าระกำที่ให้ผลสุกแดง รสชาติเปรี้ยวจี๊ด จากนั้นก็จะเป็นเส้นทางเริ่มขึ้นเขา ผ่านป่าดิบชื้นขึ้นไปยังระดับสูงประมาณ 900 เมตร จากระดับน้ำทะเล

เดินต่อไปเรื่อยๆ จะถึงเพิงถ้ำใหญ่ ที่ต้องเดินลอดผ่านจากถ้ำแรก แล้วขึ้นไปยังถ้ำที่ 2 ซึ่งเพิงถ้ำอันเป็นจุดที่พักบนยอดหินกูบนี้ สามารถกันแดดและกันฝนได้ในวันที่ฝนตก และถ้าวันไหนมีฝนตกช่วงกลางวัน ก็ค่อนข้างแน่ใจได้เลยว่า ตอนเช้าจะได้เจอกับทะเลหมอกที่ยอดหินกูบอย่างแน่นอน

ชมทะเลหมอกเมืองจันท์ ณ ยอดหินกูบ

                 เมื่อไปถึงจุดหมาย เราจะได้สัมผัสกับม่านหมอกที่แผ่ปกคลุมกระจายไปทั่วป่า พร้อมกับภาพทิวทัศน์ข้างหน้าที่เป็นหมอกขาวโพลน สวยงามเหมือนภาพฝัน และหากใครต้องการตื่นมาเก็บภาพทะเลหมอกในช่วงเช้า ก็ให้ตื่นประมาณตี 4 ครึ่ง ถ้าต้องการหามุมที่สามารถมองเห็นวิวพระอาทิตย์ขึ้น ก็ต้องไปที่ชะง่อนผา

ซึ่งอยู่ห่างจากเพิงถ้ำใหญ่ไปประมาณ 20 เมตร ภาพที่อยู่เบื้องหน้าจะเห็นเป็นกลุ่มทะเลหมอกเคลื่อนตัวจับกลุ่มกันฟูฟ่อง และมองเห็นผาหน้าหมีมีลักษณะเป็นโขดเขากลมๆ พร้อมกับมีหินก้อนหนึ่งคล้ายหมีกำลังก้มหน้าวางทับซ้อนบนยอดตามชื่อ เมื่อเริ่มมองเห็นแสงจากดวงอาทิตย์ที่เคลื่อนตัวขึ้นมาเหนือกลุ่มทะเลหมอกออกมาเป็นแสงสีทอง ก็จะได้พบกับความงดงามในยามเช้า ที่คุ้มค่ากับการเฝ้ารออย่างที่สุด

              เพียงแค่ได้สัมผัสกับลมเย็นๆ ได้เห็นทัศนียภาพอันงดงามของสายหมอกที่แผ่ปกคลุมขุนเขา และสูดโอโซนอันบริสุทธิ์ ก็ทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งแล้ว

ติดตามสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจได้ที่ Focus on travel
เวปไซด์ focusontour.com และติดตามต่อกันได้ที่ FB: กิน นอน เที่ยว

Categories
focus on travel

สนุกเบิกบาน ณ บ้านควายไทยสุพรรณบุรี

                 ควาย เป็นสัตว์ที่ผูกพันธ์กับวิถีชีวิตของคนไทยมานาน แต่ปัจจุบันนี้ด้วยเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น จึงทำให้ความสำคัญของควายนั้นลดน้อยลงไปมาก วันนี้เราเลยจะพาไปรำลึกถึงวิถีชีวิตเก่าๆ ของคนไทยที่เคยผูกพันธ์กับควายมายาวนาน ณ บ้านอนุรักษ์ควายไทย จ.สุพรรณบุรี

                 บ้านอนุรักษ์ควายไทย แห่งนี้ สร้างขึ้นบนพื้นที่ 70 ไร่ ใน อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้คนไทยได้ระลึกถึง “ควาย” สัตว์ที่อยู่คู่กับชาวนาของเรามานาน ถือเป็นการช่วยส่งเสริมรายได้ให้กับชุมชนอีกทางหนึ่ง ทั้งยังสนับสนุนและส่งเสริมการท่องเที่ยวในเชิงอนุรักษ์อีกด้วย ส่วนราคาค่าบัตรเข้าชมก็ถูกมากๆ ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท เท่านั้น

สนุกเบิกบาน ณ บ้านควายไทย สุพรรณบุรี

                  เมื่อเข้ามาข้างในสิ่งแรกที่จะได้สัมผัสคือความร่มรื่น เพราะที่นี่มีต้นไม้เยอะ ได้บรรยากาศชนบทแท้ๆ ยิ่งถ้าเป็นช่วงที่ฝนตก จะได้กลิ่นไอดินจางๆ สดชื่นมาก พื้นทางเดินจะมีทั้งส่วนที่เป็นปูนและเป็นดิน แม้จะเดินไม่สะดวกมาก แต่ก็ได้อารมณ์ของท้องไร่ท้องนาดี

                  บ้านอนุรักษ์ควายไทย แห่งนี้มีควายอยู่ 20 กว่าตัว แต่หากรวมควายทั้งหมดในโครงการอนุรักษ์ควายไทย จะมีประมาณ 300กว่าตัว ควายที่ถือเป็นไฮไลท์ก็มี ควายเผือก ควาย 5 ขา และควายแคระ ซึ่งดูไม่ค่อยเหมือนควายซักเท่าไหร่ เพราะแต่ละตัวอ้วนเหมือนหมูมากกว่า

สนุกเบิกบาน ณ บ้านควายไทย สุพรรณบุรี

                  ที่นี่เค้าให้เจ้าหน้าที่ 1 คน ดูแลควายแค่ 2 ตัวเท่านั้น น้องควายก็เลยอ้วนกันเป็นพิเศษ แถมแต่ละตัวยังเชื่องมาก เล่นได้ จับได้ แถมรู้งานมากๆ ใครอยากถ่ายรูปกับควาย เจ้าหน้าที่เค้าก็สามารถสั่งให้หันมายิ้มได้ บางตัวฉลาดถึงขั้นมีคนเอาไปถ่ายละคร แบบนี้ยังจะหาว่าควายฉลาดน้อยอีกหรือ

                 นอกจากควายที่เป็นพระเอกนางเอกของที่นี่แล้ว ก็ยังมี “หมู่บ้านชนบท” ซึ่งเป็นบ้านเรือนไทยยกใต้ถุนสูงจัดแสดงไว้เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมได้เข้าใจถึงวิถีชีวิตชาวนาไทยสมัยก่อน ถัดมาอีกหน่อยจะเป็น “ลานการแสดง” เพื่อโชว์ความสามารถของควาย จัดแสดงให้ดูเป็นรอบๆ โดยวันธรรมดาจะแสดง 2 รอบ แต่ถ้าเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ จะแสดงหลายรอบหน่อย ถัดไปอีกก็เป็น “แปลงทำนา”

สนุกเบิกบาน ณ บ้านควายไทย สุพรรณบุรี

เอาไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษาแปลงนา ต้นกล้า และวิธีการปักดำต้นกล้า ทั้งยังสามารถทดลองปักดำต้นกล้าได้ด้วย ใกล้ๆ กันมี “ลานข้าว” ไว้ให้เรียนรู้ถึงวิธีการนำต้นข้าวจากการเก็บเกี่ยวมาแปลงสภาพเป็นข้าวเปลือกและข้าวสาร ตามแบบภูมิปัญญาไทย ตั้งแต่การนวดข้าว ตำข้าว ฝัดข้าว สีข้าว และการใช้ประโยชน์จากส่วนอื่นๆ ของต้นข้าว และยังมีการสาธิตวิธีหุงข้าวแบบโบราณอีกด้วย

                  เรียกว่าได้บรรยากาศของชนบทจริงๆ ใครอยากสัมผัสวิถีชนบท ก็ลองมาเที่ยวมาชาร์ตพลังที่ บ้านอนุรักษ์ควายไทย กันได้

ติดตามสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจได้ที่ Focus on travel
เวปไซด์ focusontour.com และติดตามต่อกันได้ที่ FB: กิน นอน เที่ยว

Categories
focus on travel

“ถ้ำเขาหลวง” จุดชมวิวมุมมองใหม่ในเมืองเพชรฯ

                      หากใครได้เคยอ่าน นิราศเมืองเพชร ของ สุนทรภู่ คงจะพอจำกันได้ว่า ท่านได้กล่าวชม ถ้ำเขาหลวง ไว้ว่าเป็นถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยสวยงามตระการตา วันนี้เราเลยจะพาไปชมแหล่งท่องเที่ยวที่มีประวัติอันยาวนานแห่งนี้กันซักหน่อย เพราะถ้ำเขาหลวงที่ว่านี้ มีทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ นิยมมาเที่ยวกันนานนับร้อยปีแล้ว

“ถ้ำเขาหลวง” จุดชมวิวมุมมองใหม่ในเมืองเพชรฯ

                     เขาหลวง เป็นภูเขาขนาดเล็ก มียอดสูงเพียง 92 เมตร แต่หากขึ้นไปบนยอดเขาที่เรียกว่า ยอดมอ จะมองเห็นวิวเมืองเพชรได้อย่างชัดเจนและสวยงาม ภายในมี ถ้ำเขาหลวง ซึ่งมีหินงอกหินย้อยสีสันสวยงาม อากาศเย็นสบาย ไม่อับชื้น เพราะมีช่องที่แสงอาทิตย์สามารถส่องเข้ามาภายในถ้ำได้ ยิ่งทำให้สวยงามมากขึ้นไปอีก ถือเป็นถ้ำใหญ่และสำคัญที่สุดในเมืองเพชรเลยก็ว่าได้ โดยในถ้ำประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญยิ่ง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4

                   ถ้ำเขาหลวง ตั้งอยู่ที่อยู่บนเขาหลวง ห่างจากเขาวังประมาณ 5 กิโลเมตร อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเพชรบุรีมากนัก จากเส้นทางเข้าสู่ตัวเมืองเพชรบุรี เลี้ยวซ้ายหน้าศาลหลักเมืองไปสัก 2-3 กิโลเมตร ก็จะเห็นทางขึ้นถ้ำเขาหลวง ทางขึ้นชันนิดหน่อย แต่ก็ช่วงสั้นๆ ข้างบนมีลานจอดรถกว้างขวาง จากลานจอดรถ จะมีทางเดินขึ้นไปยังถ้ำซึ่งเป็นบันไดปูน เดินได้สะดวก บรรยากาศรอบๆ มีต้นลีลาวดีปลูกเรียงราย ดูแล้วร่มรื่น และช่วงระหว่างเดิน ก็จะมีลิงหลายตัวมาห้อยโหนกระโดดเล่นไปมา มองแล้วเพลิดเพลินตาเพลินใจไม่น้อย

“ถ้ำเขาหลวง” จุดชมวิวมุมมองใหม่ในเมืองเพชรฯ

                 พอมาถึงปากถ้ำ ต้องเดินลงบันไดที่ชันนิดหน่อย เป็นบันไดปูน 99 ขั้น ลงไปถึงด้านล่าง ก็จะพบห้องโถงแรก ที่จะทำให้รู้สึกหายเหนื่อยทันที เพราะจะเห็นหินงอกหินย้อยที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาได้อย่างงดงามตระการตา ภายในถ้ำมีพระพุทธรูป และสถูปเจดีย์น้อยใหญ่เรียงรายอยู่เต็มไปหมด ปัจจุบันมีพระพุทธรูปในถ้ำรวม 170 องค์ และมีเจดีย์ 6 องค์

               ภายในถ้ำ มีพระพุทธบาทจำลอง และหินที่เกิดจากน้ำหยดลงมาเป็นรูปเหมือนหัวช้าง ซึ่งถูกแต่งเดิมแค่ตากับหูเท่านั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจแก่ผู้ที่พบเห็นอยู่ไม่น้อย นอกจากหินงอกหินย้อยที่สวยงามแล้ว อากาศในถ้ำก็ไม่อึดอัด แต่กลับเย็นสบายอีกด้วย

“ถ้ำเขาหลวง” จุดชมวิวมุมมองใหม่ในเมืองเพชรฯ

                  นอกจากถ้ำเขาหลวงแล้ว ยังมีอีกที่หนึ่งซึ่งไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวขึ้นไปเพราะทางขึ้นลำบาก เรียกกันว่า ยอดมอ เป็นยอดเขาที่มองเห็นวิวทิวทัศน์ของจังหวัดเพชรบุรีได้ชัดเจน ทางเดินขึ้นต้องผ่านป่า ส่วนมากจะมีแต่พระหรือแม่ชีที่ต้องการความสงบ ขึ้นไปนั่งกรรมฐานกัน พอขึ้นมาถึงก็รู้สึกหายเหนื่อย เพราะข้างบนบรรยากาศดีมากๆ มีลมพัดเย็นสบาย มองเห็นวิวทัศน์ของเมืองเพชรบุรีได้ชัดเจน โดยเฉพาะ เขาวัง

                  เพชรบุรีเป็นจังหวัดที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพ ทั้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง และมีของกินอร่อยๆ รวมทั้งของฝากที่จะหิ้วกลับไปฝากเพื่อนๆ เยอะไปหมด ใครที่พอมีเวลาว่างแต่ไม่รู้จะไปเที่ยวที่ไหน มาเพชรบุรีไม่ผิดหวังแน่นอน

ติดตามสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจได้ที่ Focus on travel
เวปไซด์ focusontour.com และติดตามต่อกันได้ที่ FB: กิน นอน เที่ยว

Categories
focus on travel

ชวนมาสูดโอโซนสะอาด ณ หาดวนกร

                อุทยานแห่งชาติหาดวนกร เป็นชายหาดดัง ที่ทอดตัวเป็นแนวยาวลงไปในทะเล ได้ชื่อว่าเป็นหาดทรายที่ขาวสะอาด ทิวทัศน์เงียบสงบ บนฝั่งยังมีทิวสนเป็นแนวขนานไปกับทะเลอีกด้วย ที่นี่มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 38 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ในเขต ต.ห้วยทราย และ ต.คลองวาฬ ของอำเภอเมือง และ ต.ห้วยยาง ของอำเภอทับสะแก ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

                หาดวนกร มีลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบหลังชายหาด  มีเกาะเล็กๆ 2 เกาะ คือ เกาะจาน และเกาะท้ายทรีย์ มีลำห้วยที่สำคัญได้แก่ ห้วยคลองหินจวง ไหลผ่านตอนกลางของพื้นที่ สภาพภูมิอากาศของที่นี่ เนื่องจากตั้งอยู่ในเขตภาคใต้ของประเทศไทย และมีพื้นที่อยู่ติดชายฝั่งทะเล ลักษณะในแต่ละฤดูกาลจึงไม่แตกต่างกันมากนัก สภาพภูมิอากาศโดยรวมแบ่งออกเป็น 3 ฤดูกาล คือ ฤดูฝน เริ่มต้นเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคม

และ ฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ โดยอุณหภูมิจะลดลงต่ำสุดในเดือนธันวาคมและมกราคม อุณหภูมิเฉลี่ยต่ำสุดในเดือนมกราคม 20 องศาเซลเซียส ส่วน ฤดูร้อน เริ่มต้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม อากาศจะเริ่มร้อนโดยเฉพาะในเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีอยู่ที่ประมาณ 27 องศาเซลเซียส แหล่งท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติหาดวนกร จะมีจุดเด่นที่น่าสนใจ คือ หาดวนกร อ่าวมะค่า เกาะจาน และ เกาะท้ายทรีย์

  • หาดวนกร เป็นหาดทรายขาวสะอาด ทอดตัวเป็นแนวยาว บนชายฝั่งมีสนทะเลขึ้นเรียงรายสวยงาม นักท่องเที่ยวนิยมมาพักผ่อนและพักแรม ณ หาดแห่งนี้กันเป็นจำนวนมาก

  • อ่าวมะค่า เป็นอ่าวที่มีความเงียบสงบ ลักษณะเป็นหน้าผาริมทะเล มีโขดหิน และตลิ่งสูงชัน ตัวอ่าวตั้งอยู่ในบริเวณคุ้งน้ำชายฝั่งทะเลจากบ้านวังด้วนจนถึงปากคลองน้ำจืด สามารถมองเห็นเกาะจาน และเกาะท้ายทรีย์ได้

  • เกาะจาน และ เกาะท้ายทรีย์ เป็น 2 เกาะเล็กๆ ตรงข้ามกับหาดวนกร เป็นเกาะรังนก ที่มีกิจกรรมยอดฮิตเป็นการดำน้ำดูปะการัง นักท่องที่สนใจดำน้ำสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว

               บรรยากาศของหาดวนกร จะมีความสวยงามเป็นพิเศษในช่วงเช้า ซึ่งเราจะสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นจากทะเลได้อย่างสวยงาม ทั้งยังเป็นชายหาดที่อยู่ไม่ไกลจากรุงเทพฯ มากนัก จึงมีนักท่องเที่ยวแวะมาเที่ยวชมกันมากมายในวันหยุด

ใครที่ชื่นชอบการเล่นน้ำบนชายหาดขาว ทอดตัวยาว มีแนวต้นสนอยู่ชิดริมหาดสร้างบรรยากาศสุดร่มรื่น เหมาะแก่การพักผ่อน หรือจะมาพักค้างแรม มากางเต็นท์ใต้ร่มเงาสนก็แสนสบาย เพราะที่นี่มีบรรยากาศที่สงบเงียบ เหมาะแก่การนอนฟังเสียงคลื่นบนหาดทรายกว้างใหญ่ และยังสามารถเล่นน้ำได้อย่างปลอดภัย ท่องเที่ยวแบบครอบครัวได้สบายหายห่วง

ติดตามสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจได้ที่ Focus on travel
เวปไซด์ focusontour.com และติดตามต่อกันได้ที่ FB: กิน นอน เที่ยว

Categories
focus on travel

หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไท-ยวน สระบุรี

                 ทริปนี้เราจะพาไปเยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์และศูนย์ศึกษาวิถีชีวิตชุมชนและวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวไท-ยวน ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดภาคกลางของ อ.ทรงชัย วรรณกูล ซึ่งได้รวบรวมเรือนไม้ทรงไทยโบราณอายุราว 80 – 100 ปี และเรือลุ่มน้ำป่าสักเอาไว้มากมาย โดยอาจารย์ตั้งปณิธานในการอนุรักษ์ไว้เพื่อสืบสานวัฒนธรรมไท-ยวน และเพื่อให้เป็นศูนย์ศึกษาศิลปวัฒนธรรมไทยล้านนาแก่คนภาคกลางด้วย

              เป็นเวลากว่า 50 ปีมาแล้วที่ อ.ทรงชัยได้สะสมทั้งวัตถุ เรือนโบราณ และภูมิปัญญาด้านศิลปะวัฒนธรรมไท-ยวน ไว้ และเผยแพร่ไปสู่สถาบันการศึกษาต่างๆ ตลอดจนนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยอาจารย์ได้ใช้ความคิดในการสร้างสรรค์ผลงาน และองค์ความรู้สถาปัตยกรรมศาสตร์ สร้างที่นี่ขึ้นมาให้เป็นเสมือนพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน โดยมีการจัดการตามวิถีทางเฉพาะตัว

            สำหรับชาว ไท-ยวน หรือ ไทยล้านนา นับเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทยมานานแล้ว แม้ในปัจจุบันชาวล้านนาจะกลายเป็นพลเมืองของไทยไปแล้วก็ตาม แต่ยังคงเรียกตัวเองว่า “คนเมือง” เพื่อให้สอดคล้องภาษาล้านนาที่เรียกว่า “คำเมือง” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นเอกลักษณ์ของคนล้านนานั่นเอง

            หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไท-ยวน สระบุรี เป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชนชาวยวน (ล้านนา) ที่อพยพมาจาก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย โดยสถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งรวบรวมภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งภายในมีเรือนไทยโบราณกว่า 14 หลัง อาทิ เรือนของเจ้าเมืองสระบุรี เรือนของเสือคง โจรผู้เลื่องชื่อในอดีต นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่อบรม ให้ความรู้แก่เด็กๆ และคนรุ่นใหม่ เพื่อที่จะสืบสานศิลปวัฒนธรรมของชาวไท-ยวน ต่อไปในอนาคต ทั้งยังเป็นสถานที่แลกเปลี่ยน ความรู้ด้านวัฒนธรรม ของนักศึกษา นักวิชาการ และผู้สนใจทั่วไปอีกด้วย

              หอวัฒนธรรมแห่งนี้ยังเป็นแหล่งสะสมผ้าโบราณไท-ยวน อยู่เป็นจำนวนมาก บางผืนอายุกว่า 100 ปี และยังมีข้าวของเครื่องใช้ของชาวยวน ที่ใช้วิถีชีวิตแบบโบราณ จัดเป็นนิทรรศการภายในหอวัฒนธรรม ส่วนบริเวณท่าน้ำหน้าบ้านยังเป็นที่เก็บและจัดแสดงเรือชนิดต่างๆ ที่ใช้ในลุ่มน้ำป่าสักและภาคกลางกว่า 20 ลำ โดยใช้ชื่อว่า “พิพิธภัณฑ์เรือลุ่มน้ำป่าสัก”

              สำหรับใครที่สนใจจะไปพักผ่อนและสัมผัสบรรยากาศแบบธรรมชาติริมแม่น้ำป่าสัก และชื่นชอบการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ที่จะได้เรียนรู้ถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวไท-ยวน พร้อมการต้อนรับอันแสนอบอุ่น แถมยังได้ลองลิ้มชิมอาหารในรูปแบบขันโตกของชาวเหนือ โดยที่ไม่ต้องเดินทางไปไกลถึงดินแดนล้านนาจริงๆ ก็ขอเชิญไปลองสัมผัส หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวน สระบุรี กันดูสักครั้ง รับรองได้ว่าจะต้องประทับใจไม่รู้ลืมเลยล่ะ

ติดตามสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจได้ที่ Focus on travel
เวปไซด์ focusontour.com และติดตามต่อกันได้ที่ FB: กิน นอน เที่ยว