Categories
focus on travel

ชมความงามของทะเลหมอกฤดูฝน ณ ภูแผงม้า เพชรบูรณ์

               ถ้าใครที่ตั้งใจไปเที่ยวจังหวัดเพชรบูรณ์ เชื่อว่าหลายคนต้องมุ่งเป้าไปที่ ภูทับเบิก กันแน่ๆ วันนี้เราเลยจะพาไปรู้จักกับที่เที่ยวอีกแห่งหนึ่งในเพชรบูรณ์ ที่บอกชื่อไปอาจไม่ค่อยเป็นที่คุ้นหู แต่บอกได้เลยว่าที่นี่ก็เป็นสวรรค์บนดินไม่น้อยหน้าภูทับเบิก นั่นก็คือ ภูแผงม้า ดินแดนแห่งทะเลหมอกในฤดูฝน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากภูทับเบิกเลย

                ภูแผงม้า ถือได้ว่าเป็นจุดชมวิวและชมพระอาทิตย์ขึ้น-พระอาทิตย์ตกที่สวยมากๆ อีกแห่งหนึ่ง เพราะเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดบนเทือกเขาเพชรบูรณ์ ด้วยความสูงถึง 1775 เมตร และตั้งอยู่ห่างจากภูทับเบิกแค่ประมาณ 5 กิโลเมตร เท่านั้น การเดินทางก็ไปได้หลายเส้นทาง ทั้งเส้นนครไทยเข้าภูหินร่องกล้า เส้นหล่มสัก หรือจะมาทางเขาค้อก็ได้ จำพิกัดง่ายๆ แค่ว่า ภูแผงม้านั้นจะอยู่เลยด่านตรวจอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าไปประมาณ 300 เมตร และอยู่ในเขตการดูแลของอุทยานภูหินร่องกล้า ถ้าเลยด่านไปได้แล้วภูแผงม้าจะอยู่ทางซ้ายมือ

                 หากไปช่วงฤดูฝน ทางขึ้นจะค่อนข้างแฉะและอันตราย ซึ่งเราสามารถเดินเท้าขึ้นไปได้ เป็นการอบอุ่นร่างกายเพื่อคลายหนาวไปในตัว ระยะทางแค่ใกล้ๆ เดินชิลล์ทอดน่องแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว แต่ถ้าใครมีผู้ชำนาญทางไปด้วยก็สามารถขับรถขึ้นไปได้เลย แนะนำให้ใช้เป็นรถโฟร์ลวีล 4×4 จะเหมาะที่สุด

                 ระหว่างทางขึ้นภูนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้รกทึบ ร่มรื่นมากๆ ต่อให้เดินขึ้น-ลงก็ไม่ร้อน ไม่มีเหงื่อแน่ๆ ยิ่งถ้าได้ขึ้นไปถึงยอดภูแล้ว ยิ่งลืมความเหน็ดเหนื่อยไปเลยแน่นอน เพราะวิวข้างบนสวยมากๆๆๆ สวยชนิดที่หาคำมาบรรยายไม่ถูกเลยทีเดียว

                 ถ้าขึ้นไปตอนที่ฟ้ายังเปิดโล่ง ก็จะเห็นทิวทัศน์ด้านล่างได้ถนัดตา เรียกว่าเห็นวิวของทั้งจังหวัดเลยก็ว่าได้ แต่ถ้าขึ้นไปช่วงที่มีหมอก แม้หมอกจะเต็มภูจนไม่สามารถมองเห็นวิวข้างล่างได้ แต่เราก็จะได้ความฟินไปอีกแบบ เพราะจะรู้สึกเหมือนกำลังท่องอยู่บนวิมานยังไงยังงั้น ยิ่งถ้าใครได้ไปช่วงฤดูฝน เวลาที่มีฝนโปรยปรายลงมาด้วย ก็จะได้อารมณ์อีกฟีลที่ยากจะลืมจริงๆ พอฝนหยุดตก ท้องฟ้ากลับมาเปิดเหมือนเดิม ก็จะได้เห็นฟ้าหลังฝนบนภูแห่งนี้ที่สวยมากๆ เช่นกัน

               นั่นทำให้ใครก็ตามที่เคยได้มาเยือนที่ ภูแผงม้า เป็นต้องพูดเหมือนกันว่าประทับใจมาก และหากมีโอกาศจะต้องกลับไปอีกแน่นอน

ติดตามสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจได้ที่ Focus on travel
เวปไซด์ focusontour.com และติดตามต่อกันได้ที่ FB: กิน นอน เที่ยว

Categories
focus on travel

อาบน้ำแร่ แช่น้ำร้อน ณ อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน

                 ทริปนี้จะพาไปเยือนสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางหมู่มวลแมกไม้และสายน้ำ ที่ได้ชื่อว่าเป็นทั้งสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ สถานเสริมความงามตามธรรมชาติ และยังเป็นแหล่งทดลองทางวิทยาศาสตร์อีกด้วย สถานที่แห่งนี้ก็คือ อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน จังหวัดลำปางนั่นเอง

                อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน แบ่งออกเป็นหลายโซน โดยโซนแรกจะเหมาะมากกับการเที่ยวหน้าร้อน เพระเป็น โซนน้ำตก มีทั้งหมด 6 ชั้น แต่ละชั้นจะอยู่ห่างกันประมาณ 50  – 100 เมตร โดยมีการตั้งชื่อให้สอดคล้องกับสภาพน้ำตกในแต่ละชั้น ได้แก่ ตาดหมอก ตาดรุ้ง ตาดเหมย  ตาดทราย ตาดหลวง และตาดครก

                 หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนเขามีโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าใช้เองด้วย ทั้งนี้ก็เพราะในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการมาก ในจุดต่างๆ ของอุทยาน เช่น ห้องพัก ห้องอาบน้ำแร่ ร้านอาหาร ลานกางเต้นท์ และทางเดินจะต้องสว่างตลอดเวลาเพื่อความปลอดภัย ดังนั้นทางอุทยานจึงได้จัดทำโครงการโรงไฟฟ้าขนาดจิ๋วขึ้น โดยตั้งอยู่เหนือน้ำตกแจ้ซ้อน ชั้นที่ 6

                โซนต่อไปเป็นโซนยอดฮิตของเหล่าบรรดาผู้รักสุขภาพและความงาม นั่นก็คือ ลานน้ำแร่ และห้องอาบน้ำแร่ ซึ่งมีทั้งแบบห้องส่วนตัว และแบบรวมสำหรับผู้ที่มาเป็นหมู่คณะ หรือหากใครที่ต้องการแบบโอเพ่นแอร์เลย ก็ต้องที่ลานแช่น้ำแร่ ซึ่งก็มีทั้งแบบห้องส่วนตัว และแบบแช่รวมเช่นเดียวกัน แถมไม่มีการจำกัดเวลาแช่ด้วยนะ ประมาณว่าเบื่อเมื่อไหร่ก็ค่อยหยุด แต่ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะรอคิวนาน เพราะทางอุทยานเขาได้จัดเตรียมห้องอาบน้ำแร่ไว้มากกว่า 50 ห้อง

                และสำหรับโซนสุดท้าย ถือเป็นโซนที่มีบรรยากาศโรแมนติกมากๆ ในตอนเช้า นั่นก็คือ ลานต้มไข่ เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ใครมาเที่ยวอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนแล้วจะไม่มาต้มไข่และถ่ายรูปที่นี่ในตอนเช้า ซึ่งความโรแมนติกที่ว่านี้ก็เกิดขึ้นจากความงามของโขดหินน้อยใหญ่ ไอน้ำที่ลอยตัวขึ้นจากน้ำ และกลิ่นหอมอันน่ารับประทานของไข่ต้มสุกนั่นเอง โดยอุณหภูมิของน้ำในลานต้มไข่จะอยู่ที่ 82 องศาเซียลเซียส ซึ่งถือว่าร้อนมาก แต่ยังไม่ถึงกับเดือด 

                สำหรับคนที่พอมีเวลาหน่อย ก็สามารถมาตั้งแคมป์ โดยกางเต็นท์ที่ลานเอนกประสงค์ได้ หรือหากใครต้องการนอนสบายๆ ในบ้านพัก ทางอุทยานก็มีบริการบ้านพักแบบเดี่ยว และแบบหมู่คณะให้ แถมมีบริการจัดแคมป์ไฟให้ด้วย สบายหายห่วงเรื่องความปลอดภัย เพราะเจ้าหน้าที่เขาให้บริการเป็นอย่างดี ใครที่กำลังวางแผนท่องเที่ยวต่างประเทศ อยากให้ลองหันมาท่องเที่ยวในเมืองไทยบ้านเราดูบ้าง แล้วจะเห็นว่า อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน แห่งนี้ สวยงามไม่แพ้ประเทศไหนในโลกเลยล่ะ

ติดตามสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจได้ที่ Focus on travel
เวปไซด์ focusontour.com และติดตามต่อกันได้ที่ FB: กิน นอน เที่ยว

Categories
focus on travel

เยี่ยมชมหมู่บ้านชาวมอญ กาญจนบุรี

เยี่ยมชมหมู่บ้านชาวมอญ กาญจนบุรี

                 ถ้าพูดถึงจังหวัดท่องเที่ยวในเขตภาคกลางของประเทศไทยแล้วล่ะก็ เชื่อแน่ว่าชื่อของ กาญจนบุรี จะต้องมาเป็นอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน เพราะเป็นจังหวัดใหญ่ที่มีความหลากหลายทั้งด้านภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และประชากรศาสตร์

                 จังหวัด กาญจนบุรี ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งประวัติศาสตร์ของภาคกลาง ที่มีผู้คนนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวกันอย่างสม่ำเสมอ เพราะเต็มไปด้วยเรื่องราวในอดีตที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเรื่องของการเป็นแหล่งอารยะธรรมเก่าแก่ แหล่งท่องเที่ยวที่มีเรื่องราว เช่น สะพานข้ามแม่น้ำแคว ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นอกจากนี้ก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งป่าเขาลำเนาไพร ถ้ำ น้ำตก และอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวน่าค้นหาที่เราจะพาไปสัมผัสกันก็คือ หมู่บ้านมอญ

                หมู่บ้านมอญ ที่เราพูดถึงนี้อยู่ใน ตำบลท่าเสา อำเภอไทรโยค เราต้องเดินทางไปขึ้นเรือที่ท่าเรือ รีโซเทล เพื่อนั่งเรือหางยาวเข้าไป โดยแต่ละลำจะนั่งได้ประมาณ 10-12 คน ใช้เวลาในเรือประมาณ 20 นาที โดยบรรยากาศ 2 ฝั่งลำน้ำจะเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจีดูร่มรื่นและทำให้รู้สึกสดชื่นมาก จากนั้นก็ขึ้นฝั่งที่ ริเวอร์แคว จังเกิลราฟท์ ซึ่งเป็นรีสอร์บนแพท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม และมีนักท่องเที่ยวที่เป็นชาวต่างชาติอยู่ค่อนข้างมาก จากจุดนี้ก็ให้มุ่งหน้าต่อไปยัง หมู่บ้านมอญ ซึ่งต้องเดินขึ้นเขาไปอีกประมาณ 1-2 กิโลเมตร

                เมื่อเดินขึ้นไปถึงหน้าหมู่บ้าน จะมีซุ้มทางเดินซึ่งมีที่บังแดดและฝน ทำให้ไม่ร้อน และเมื่อเดินต่อไปจนเข้าสู่หมู่บ้าน ก็จะได้พบกับซุ้มขายของที่ระลึก ซึ่งชาวบ้านเป็นผู้ขายเอง โดยของที่นำมาขายนั้นก็เป็นของที่ชาวบ้านทำขึ้นมากันเองนั่นแหล่ะ ภายใน หมู่บ้านมอญ มีโรงเรียนที่สอนเด็กๆ ชาวมอญ โดยเด็กๆ จะได้เรียนทั้งภาษาไทยและภาษามอญควบคู่กันไป ไม่ห่างจากโรงเรียนจะเป็นโรงเลี้ยงช้าง ซึ่งช้างเหล่านี้มีไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวที่ต้องการเยี่ยมชมหมู่บ้านในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งการนั่งบนหลังช้างชมทิวทัศน์นั้น ก็ถือเป็นไฮไลท์ของ หมู่บ้านมอญ แห่งนี้เช่นกัน

                 หากสำรวจไปเรื่อยๆ ภายในหมู่บ้าน จะพบกับบ้านของชาวมอญที่ปลูกไว้อย่างน่ารัก นอกจากนี้ก็ยังมีวัด โดยภายในวัดจะมีเจดีย์ทรงพม่า และมีสิงห์คู่อยู่ด้านหน้าเจดีย์ด้วย

                สำหรับการเดินทางมาเยี่ยมชม หมู่บ้านมอญ นักท่องเที่ยวจะนิยมมากันทั้งทางรถยนต์และรถไฟ ซึ่งการเดินทางโดยรถไฟจากกรุงเทพฯ ให้ขึ้นที่สถานีบางกอกน้อย แล้วลงสถานีปลายทางน้ำตก กาญจนบุรี โดยจะมีรถไฟออกจากสถานีบางกอกน้อยทุกวันเวลา 07.45 น. ถึงสถานีน้ำตกเวลา 12.50 น. และออกจากสถานีบางกอกน้อยเวลา 13.50 น. ถึงสถานีน้ำตกเวลา 18.40 น เมื่อถึงสถานีน้ำตก สามารถเช่ารถมินิบัสเพื่อไปยังท่าเรือรีโซเทล จากนั้นก็เช่าเรือหางยาวเพื่อมายังริเวอร์แควจังเกิลราฟท์ และเดินต่อไปยังหมู่บ้านได้

ติดตามสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจได้ที่ Focus on travel
เวปไซด์ focusontour.com และติดตามต่อกันได้ที่ FB: กิน นอน เที่ยว