ปลายฝนต้นหนาวแบบนี้หลายๆ คนคง อยากจะไปขึ้นเหนือ ไปเยือนความเย็นยะเยือกของอุณหภูมิที่ต่ำลงของจังหวัดทางภาคเหนือ ทั้งความเย็นสบายของอากาศ ความสวยงามของธรรมชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของภาคเหนือ ผู้คนที่เป็นคนชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในดอยหรือเขาต่างๆ
หรือที่เราเรียกพวกเขาเหล่านั้นว่า ชาวเขา นั้นเอง มันก็จะเป็นทุกปีที่เมื่อเข้าสู่ปลายฝนต้นหนาวแล้วผมจะต้องไปจังหวัดแม่ฮ่องสอนไม่ก็เชียงใหม่ แต่ครั้งนี้กลับเปลี่ยนใจลองไปในที่ๆเราไม่เคยได้ไปสักที แล้วเป็นที่ที่ไปไม่ห่างจากกรุงเทพนัก แถมประหยัดค่าใช้จ่าย มาค้างได้ฟรีอีกด้วย
วันนั้นตื่นขึ้นมาแล้วคิดว่าอยากจะไปตั้งแคมป์สัก 2 วัน 1 คืน อยู่ห่างไกลจากผู้คนหลีกหนีความวุ่นวาย เร่งรีบ ในเมืองหลวงของประเทศไทย หลังจากที่คิดไปคิดมาอยู่สักครู่ก็ตัดสินใจลองหา Unseen Thailand
ดูดีกว่า และได้ไปสะดุดกับสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่เมื่อไม่นานมานี้เป็นที่นิยมมากของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเช่นกัน สถานที่แห่งนี้เรียกว่าเป็น เขื่อนที่ใหญ่โตมาก และได้ชื่อว่าเป็น เขื่อนดินที่ยาวที่สุดในประเทศไทยเลยก็ว่าได้ ใช่ครับสถานที่ที่ผมกำลังจะไปนั่นคือ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่ตั้งอยู่ระหว่าง 2 จังหวัด นั้นคือ สระบุรีและลพบุรีนั้นเอง
สาเหตุที่ได้ชื่อว่าเป็น Unseen Thailand ก็เพราะว่า ทุกๆ 1ปี จะมีการนั่งรถไฟลอยน้ำที่จะจัดขึ้นโดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานลพบุรี
ซึ่งเส้นทางของรถไฟลอยน้ำแห่งนี้จะเริ่มต้นจากสถานีที่กรุงเทพฯจะใช้เวลาประมาณเกือบ 3 ชั่วโมงที่จะมาถึงเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์แห่งนี้ ระหว่างทางก็จะมีการหยุดขบวนรถไฟเพื่อที่จะหยุดชมกับความสวยงามของทุ่งทานตะวันสีเหลืองทองอร่ามนั้นเอง เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์คือ ทางเข้าของเขื่อนแห่งนี้นั้นจะเป็นทางรถไฟที่เคยใช้งานมาก่อนในอดีต ข้างทางก่อนที่จะถึงเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ก็จะเต็มไปด้วยร้านอาหารมากมายและทุกร้านก็จะมีเมนูหลักๆ เลย
คือ เมนูปลานั้นเอง สาเหตุที่ปลาเป็นเมนูหลักของร้านอาหารแถวนี้ก็เพราะว่า ในบริเวณของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์นั้นจะอุดมไปด้วยพันธุ์ปลาต่างๆมากมายเลยทีเดียว จึงไม่แปลกที่ร้านอาหารแถวนี้จะมีเมนูหลักคือ ปลานั้นเอง การมาครั้งนี้ผมไม่ได้มาในช่วงที่ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจัดโครงการรถไฟลอยน้ำขึ้นมา เพราะในทุกปี จะจัดช่วงเดือน ธันวาคมถึงมกราคม
แต่คราวนี้ได้มาเจอกับ Unseen Lopburi อีกอย่างที่เพิ่งจะได้เป็นที่รู้จักของคนไทย นั้นคือ สะพานผุด ณ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ นั้นเอง (ที่อื่นมีแต่น้ำลดต่อผุด แต่ที่จังหวัดลพบุรี – สระบุรีมี น้ำลดสะพานผุด) เชื่อกันว่าสะพานผุดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นไว้นานมากแล้วอาจจะก่อนที่จะสร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ขึ้นมาก็เป็นได้ เป็นสะพานผุดที่ไม่ค่อยใหญ่มากนัก
แต่ว่ามันก็สวยงามมากในระดับหนึ่งและเมื่อพระอาทิตย์เริ่มอัสดงเมื่อไหร่ทุกคนพร้อมใจกันหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปสะพานผุดอย่างทักทีเหตุผลก็เพราะว่าเป็นเป็นมุมที่แสงสวยมากเลย หลังจากนั้นผมก็ไปยังสถานที่บริเวณที่เขาตั้งแคมป์กัน โชคดีที่มีคนมาตั้งแคมป์เหมือนกัน เพราะตอนแรกนึกว่าจะมีผมคนเดียวเสียอีกที่มาตั้งแคมป์ที่นี่
ผมใช้เวลานานพอสมควรที่จะกางเต็นท์ เพราะว่าวิชาลูกเสือเนตรนารีผมไม่ได้ตั้งใจเรียนรู้มากเท่าไหร่ แต่จนแล้วจนรอดผมก็ทำมันสำเร็จ
สิ่งที่ผมเตรียมมาด้วยนอกจากเต็นท์แล้วก็จะมี เตาแก๊สไฟฟ้า โคมไฟแบบไฟฟ้า อุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวกับการตั้งแคมป์ นอกจากนี้ยังมีอาหารการกิน เช่น เนื้อไก่ ซีอิ๊วขาว น้ำตาล ข้าวที่หุงมาให้เรียบร้อย แต่โชคชะตาชอบเล่นตลก ทุกอย่างกำลังจะเข้าที่เข้าทางของมันอยู่แล้ว ลมเจ้าเอ๋ยพัดมาจากไหนก็ไม่รู้พัดแรงพอที่จะทำให้อาหารผมตกพื้นไปหมด
ผมก็ได้แต่นั่งอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง กะว่าจะเดินไปซื้อของทานเล่นที่ร้าน แต่พี่ๆ เต็นท์ข้างๆ ก็เรียกผมไปนั่งทานด้วยกันเพราะเห็นว่าผมมาคนเดียว ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่โชคดีมากๆ ของผมเลยครับ ทำให้การตั้งแคมป์ครั้งนี่ผมจะไม่ลืมเลย ส่วนใครที่จะมาตั้งแคมป์แนะนำว่าควรเตรียมอุปกรณ์มาเองจะดีกว่า เพราะจุดตรงนี้จะเน้นตรงขายบรรยากาศมากกว่าเน้นขายของแก่นักท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยรักษาภาพพจน์ของการรักษาความสะอาดและเพื่อสิ่งแวดล้อม ให้สะอาดตาไปยาวนานมากกว่า
ติดตามสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจได้ที่ Focus on travel
เวปไซด์ focusontour.com