Categories
focus on eat

4  ร้านคาเฟ่อาหารไทย เอาใจชาวกรุง

     วันนี้เราจะพาทุกคนไปชิมอาหารไทย ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ เอาใจคนกรุงกับคาเฟ่สายชิล สาวหวาน และสายฮิปสเตอร์ พร้อมบรรยากาศอันแสนอบอุ่น อยากจะนั่งจิบชา ทานอาหารแสนอร่อย  พร้อมแชะรูปไปอวดลงโซเชียล ต้องไม่พลาด 4 ร้านนี้

ร้านShing A ring A ring

     Cr.pic; https://www.paiduaykan.com/

      1.   ร้านShing A ring A ring เป็นร้านอาหารไทยโบราณที่ผสมผสานความร่วมสมัยไว้ด้วยกัน เพราะเมนูขึ้นชื่อของทางร้านเป็นอาหารไทย รสชาติกลมกล่อม ที่ครองใจทั้งคนไทยและต่างชาติ มีเมนูแปลกใหม่ อย่างป่าสามเหม็น ม้าฮ่อ-ม้าฮ่วน แต่มีความเก๋ตรงออกแบบภายนอกร้านมาในรูปแบบของโบสถ์คริสต์ สไตล์ยุโรป  เป็นคาเฟ่และhang out bar ที่มีดนตรีสดเปิดทุกวันพฤหัสบดี-อาทิตย์ ร้านอยู่ย่านพุทธมณฑลเปิดทุกวันตั้งแต่ 11.00-24.00 น.

Meeboon_eatery

     Cr.pic; https://page.line.me/

      2. Meeboon_eatery ชวนหนีความวุ่นวายในเมืองใหญ่คาเฟ่ชื่อดังย่านเสรีไทยอีกหนึ่งที่ ที่ไม่ควรพลาดเลยค่ะ มีเมนูอาหารไทย  พร้อมเครื่องดื่มเสิร์ฟความอร่อยให้ถึงที่ และเบเกอรี่ตบท้ายของคาว แต่ละเมนูทำด้วยความใส่ใจ ตั้งแต่วัตถุดิบที่นำมาปรุง มีที่จอดรถ บริการ Wi-Fi ฟรี นำน้องสัตว์เลี้ยงมาวิ่งเล่นได้ ร้านนี้ไม่รับบัตรเครดิต  เหมาะสำหรับพาครอบครัวมาพักผ่อน มีดนตรีสดให้มานั่งชิวพร้อมรับบรรยากาศอันร่มรื่นได้แล้วทุกวัน ตั้งแต่ 10.00-19.00 น. ถ้าใครไม่สะดวกมา ก็สามารถสั่งเดลิเวอร์รี่ผ่านแอพพลิเคชั่นGrab และ LINE MAN

ร้าน The Hub Cafe and Eatery

   Cr.pic; https://www.ananda.co.th/

     3. ร้าน The Hub Cafe and Eatery เป็นคาเฟ่ที่เอาใจคนทำงาน นักศึกษา เพราะเหมาะสำหรับมานั่งชิว และทำงาน ตกแต่งได้สวยงาม บรรยากาศนั่งชิว ท่ามกลางความร่มรื่นใต้ต้นไม้ใหญ่ มีที่จอดรถพร้อม มีWi-Fiให้บริการ เมนูอาหารที่ไม่เหมือนคาเฟ่อื่นๆ เพราะเป็นสไตล์ฟิวชั่น พร้อมเสริ์ฟเมนูของหวานที่พิเศษตามเทศกาล นอกจากเมนูอาหารที่น่าทานแล้ว ยังมีเครื่องดื่มอย่างไวน์และเบียร์ให้คุณดื่มด่ำไปกับบรรยากาศ  ร้านเปิดทุกวัน 10.00-19.00 น. และเปิดรับบัตรเครดิตด้วยค่ะ

ร้าน Ahh kard D
ร้าน Ahh kard D

      Cr.pic; https://www.bkkmenu.com/

      4 ร้าน Ahh kard D เป็นคาเฟ่สไตล์ธรรมชาติ ร้านที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอันแสนอบอุ่น ร่มรื่น เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ เงียบสงบ เหมาะสำหรับนั่งอ่านหนังสือ หรือทำงานที่ต้องใช้สมาธิ และอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ จะเป็นสไตล์ไทยๆ แบบอาหารไทยยุคใหม่ ให้คงความอร่อยตามสูตรรสชาติเดิม แต่หน้าตาของอาหารสุดครีเอท แถมเมนูเครื่องดื่มก็น่าทานไม่แพ้กัน มีความครีเอทีฟ อย่างเมนู นมเย็น ผสมดาร์คช็อกโกแลตที่ดูแล้วก็ไม่น่าเข้ากันได้ แต่รสชาติกลับอร่อยเกินคาด ราคาอาหารก็ไม่แพง ร้านปิดวันจันทร์เท่านั้น เปิดเวลา 11.30-21.00 น.

       เป็นยังไงกันบ้าง รับรองว่าถ้าได้ไปลองชิมอาหารและเบเกอร์รี่แล้วจะติดใจ เพราะมีเมนูอาหารและขนมให้เลือกทานอย่างหลากหลาย แถมเดินทางสะดวก มีที่จอดรถให้พร้อม และมีwifiให้บริการ ร้านที่เราแนะนำพร้อมส่งมอบความสุขให้คุณแล้ว อย่าลืมมาผ่อนคลายกับร้านคาเฟ่ที่เราแนะนำกันนะคะ

ติดตามสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจได้ที่ focusoneat
เวปไซด์ focusontour.com และติดตามต่อกันได้ที่ FB: กิน นอน เที่ยว

Categories
focus on travel

เที่ยวงาน อุ่นไอรัก

แต่งไทยร่วมสมัยเที่ยวงาน อุ่นไอรัก คลายความหนาว

นอกจากที่จังหวัดลพบุรีที่ทุกๆปี จะต้องจัดงานประจำปีทุกปีอย่าง งานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยให้นักท่องเที่ยวแต่งตัวเป็นชุดไทยสมัยก่อนแล้ว ทางจังหวัดกรุงเทพมหานครก็ได้จัดงานที่มีคอนเซ็ปต์คล้ายกับงานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเหมือนกัน

นั่นคืองานอุ่นไอรัก คลายความหนาว ภายในงานนี้จะถูกออกแบบให้มีความคล้ายคลึงกับงานฤดูหนาวในสมัยก่อนหรือที่เรียกว่า งานฤดูหนาวย้อนยุค จุดประสงค์ของงานนี้คือให้นักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและชาวต่างชาติได้เห็นถึงขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของประเทศไทยหรือสยามในสมัยเมื่อคราวก่อน

งาน อุ่นไอรัก
งาน อุ่นไอรัก

งานอุ่นไอรัก คลายความหนาวที่จัดขึ้น ณ บริเวณ สนามเสือป่าและพระราชวังดุสิต เมื่อเดินผ่านจุดคัดกรองแล้ว เราจะเห็น แผนผังขนาดใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงจุดสำคัญหรือสถานที่ภายในงาน อุ่นไอรัก มีทั้งหมด 26 จุดด้วยกัน เช่น ร้านค้าในพระบรมวงศานุวงศ์ โรงพักสรรพยา เรือพระที่นั่ง ที่ได้นำมาตั้งโชว์ถึง 4 ลำ เป็นต้น

บริเวณลานกว้างหน้าพระราชวังดุสิตจะถูกจัดอย่างสวยงามด้วยดอกไม้นานาพันธุ์หลากสีสัน และจะมีจุดหนึ่งของลานกว้างนี่ที่เป็นที่สะดุดตาของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาภายในงานนั้นคือ การจำลองพระที่นั่งที่มีชื่อว่า “พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์” ซึ่งพระที่นั่งของจริงจะตั้งอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

เดินถัดมาอีกสักพักจะได้เจอกับพระบรมรูปทรงม้ารัชกาลที่ 5 นักท่องเที่ยวสามารถมาสักการะได้โดยที่จะมีพานดอกไม้เตรียมไว้ให้และไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ตรงกลางลานจะเป็นที่จัดแสดงเรือพระที่นั่ง เช่น เรือพระที่นั่งที่มีหัวเป็นพญานาค 8 เศียร อย่างพญาอนันตนาคราช เรือพระที่นั่งลำนี่จึงมีชื่อว่า “เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช”

เมื่อมีพญานาคก็ต้องมีคู่ปรับตลอดกาลอย่างพญาครุฑ เรือพระที่นั่งลำนี้มีลักษณะเด่นอยู่ที่หัวเรือโดยจะมีรูปของพญาครุฑตั้งอยู่และมีพระนารายณ์ยืนอยู่บนตัวพญาครุฑ เรือนั้นจึงมีชื่อว่า “เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ” และเรือพระที่นั่งที่เราเห็นกันบ่อยครั้งคือ “เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์”

และจุดที่ดึงดูดหรือที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจอีกอย่างคือมุมตลาดไทยที่มีของทานเล่นแบบไทยแท้ตั้งอยู่ที่นี่เราจะเจอกับอาหารที่ไม่ค่อยได้เห็นกันบ่อยๆ เช่น ล่าเตียง หรือภาษาชาวบ้านจะเรียกว่าหนุ่มล่าเตียงเป็นอาหารในวังจัดเป็นอาหารคาวหวานชนิดหนึ่ง ซึ่งล่าเตียง1 ชุด ราคา 60 บาท ถัดมาจะเป็นการทำขนมสัมปันนี ขนมไทยโบราณที่มีกลิ่นหอมอ่อนเพราะผ่านการอบควันเทียน

เมื่อกัดเข้าไปถึงกับละลายในปากมีลักษณะเป็นดอกไม้ขนาดเล็ก ขนมลูกชุบผลไม้ต่างๆ มีการโชว์การร้อยมาลัยแบบร้อยตุ้มสไตล์แม่หญิงในวังหลวง โชว์การปักสไบแบบย้อนยุคให้ออกมาสวยงาม สไบที่เสร็จแล้วจะมีความสวยงามละเมียดละมัยบรรจงเป็นอย่างมาก

มีการสอนทำพวงมโหตร ( พวง- มะ-โหด ) พวงมโหตรจะทำจากกระดาษหลากหลายสีสัน ถือว่าพวงมโหตรเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่เขาจะนำพวงมโหตรไปแขวนไว้ในงานบุญต่างๆ ของคนไทย เป็นภูมิปัญญาของไทยเราที่มีความสวยงามมาก 

งาน อุ่นไอรัก
งาน อุ่นไอรัก
งาน อุ่นไอรัก
งาน อุ่นไอรัก

บริเวณที่อยู่ข้างจะเป็นการแสดงการทำหัวโขนที่ใช้ในการแสดงโขนต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่การแสดงโขนจะนิยมแสดงเรื่องรามเกียรติ์  . ยังมีอีกหลายร้านที่ผมยังไปไม่หมดแต่โดยรวมแล้วงานนี้นอกจากจะได้ความสนุก และความรู้แล้ว ยังจะได้ความอิ่มเอมใจกลับไปด้วย ถ้าหากสถานการณ์ดีขึ้น เราอาจจะได้เห็นงานนี้กลับมาอีกครั้ง

ติดตามสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจได้ที่ Focus on travel
เวปไซด์ focusontour.com

Categories
focus on travel

ถ้าเบื่อหน่าย…ไปเที่ยว เอเชียทีคเดอะริเวอร์ฟร้อนท์ ที่กรุงเทพฯ ซะเลย

เคยเป็นกันไหมที่รู้สึกเบื่อๆ ไม่มีใครเข้าใจเราเลยสักคนจนเราต้องประชดประชันโดยการแอบไปข้างนอก กะว่าจะไปนอนบ้านเพื่อน เพื่อนก็ดันไปเที่ยวกับแฟน จะไปนอนบ้านแฟนตัวเองก็ลืมไปว่าตัวเองโสด เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นกับตัวจริงๆ ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบจะ 19:00 น เลยตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าไปเที่ยวกรุงเทพฯ

แล้วตอนนั้นก็ได้ search หาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวที่เปิดตอนกลางคืนและปิดประมาณเที่ยงคืนหรือ 1:00 น สุดท้ายได้เลือกสถานที่ที่หนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงพอสมควรในจังหวัดกรุงเทพมหานคร นั่นคือ “เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟรอนท์”

เอเชียทีคเดอะริเวอร์ฟร้อนท์
เอเชียทีคเดอะริเวอร์ฟร้อนท์

ที่ “เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟรอนท์” จะปิดประมาณเที่ยงคืน หรืออาจจะเกือบ 01:00 น เลยได้ตัดสินใจไปที่นี่แทน ออกจากที่ที่อยู่ประมาณ 18:00 น ถึงกรุงเทพฯ ประมาณ 20:00 ณ ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าจะต้องลงที่ไหนและจะไปเอเชียทีคเดอะริเวอร์ฟร้อนท์ได้ยังไง ได้แต่จะหาข้อมูลในโทรศัพท์ เลยตัดสินใจลงที่สถานีหมอชิตแล้วเปิดดูว่าจากหมอชิตไปเอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ไปยังไง

สุดท้ายเลยวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างแทนซึ่งใช้เวลาประมาณ 22 นาทีก็ถึงแล้ว แต่ถ้าเป็นคนในพื้นที่การมาที่เอเชียทีคเดอะริเวอร์ฟร้อนท์ ถ้าไม่อยากรถติดก็สามารถนั่งเรือด่วนเจ้าพระยามาได้เช่นกันซึ่งไม่มีค่าบริการตั๋วแต่อย่างใด ไปถึงเร็วได้ไม่ต่างจากวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างเลย

  • เมื่อเดินเข้ามาในเอเชียทีคเดอะริเวอร์ฟรอนท์ แลนด์มาร์คริมน้ำที่มีชื่อเสียงแห่งนี้เป็นเหมือนศูนย์รวมการค้าขนาดใหญ่และใหม่สำหรับกรุงเทพมหานคร เมื่อเข้ามาข้างในแล้วจะเจอกับชิงช้าสวรรค์ที่ใหญ่สะดุดตาเป็นอย่างมาก มีความสูงประมาณ 60 เมตรได้
  • เมื่อไปอยู่จุดสูงสุดของชิงช้าสวรรค์ คุณจะสามารถเห็นวิวที่สวยงามของแม่น้ำเจ้าพระยา และวิวทั้งหมดของเอเชียทีคเดอะริเวอร์ฟร้อนท์ ถือได้ว่าเป็นวิวที่สวยงามมาก ผมต้องตั้งฉายาให้กับชิงช้าสวรรค์ของที่นี่ว่า “The eye of Asiatique the riverfront” นอกจากจะมีชิงช้าสวรรค์ที่ใหญ่มากแล้ว ที่นี่ก็จะมีโชว์มากมายให้คุณได้เลือกดูอย่างสนใจ
    • การโชว์ศิลปะแม่ไม้มวยไทย และการใช้ศิลปะป้องกันตัวในแบบอื่น เพื่ออนุรักษ์ศิลปะให้เป็นที่รู้จักในสายตาชาวโลก และได้เห็นแม่ไม้มวยไทยจริงๆ จัง
    • โชว์อีกอย่างที่มีคนสนใจมากพอเช่นกันนั่นคือการโชว์คาบาเร่นายแบบคาลิปโซ่สไตล์ คาบาเร่โชว์แบบคาลิปโซ่สไตล์ ณ เอเชียทีคเดอะริเวอร์ฟรอนท์ เป็นการจำลองโชว์คาบาเร่แบบออริจินอลหรือแบบดั้งเดิม โดยได้แรงบันดาลใจมาจาก moulin rouge ที่ฝรั่งเศส และมีความผสมผสานแบบ the musical เข้ามาด้วย จะตอบโจทย์ผู้ชมที่เป็นเพศทางเลือกมากเป็นพิเศษ
  • โดยส่วนใหญ่แล้ว ที่เอเชียทีคเดอะริเวอร์ฟร้อนท์จะมีคนพลุกพล่านช่วงเวลาประมาณเกือบจะ 17:00 น และในเอเชียทีคเดอะริเวอร์ฟรอนท์แห่งนี้ จะมีร้านคาเฟ่น่ารักๆ อยู่ร้านหนึ่ง ซึ่งขอแนะนำร้านนี้เลย มันมีชื่อร้านว่า “Palam Palam” เป็นร้านที่น่ารักตกแต่งด้วยผ้าสีขาว สามารถนั่งได้ทั้งในร้านและนอกร้าน
  • และบริเวณลานกว้างก็จะมี food truck มาขายอาหารมากมาย เช่น แฮมเบอร์เกอร์ อาหารฟาสต์ฟู้ด เป็นต้น. แล้วสายช็อปปิ้งก็ไม่ควรพลาดเหมือนกัน มีมุมตลาดให้จับจ่ายซื้อของได้เหมือนกัน อย่างร้านเสื้อผ้าโปรดจะชอบร้านหนึ่งที่ขายเสื้อแฟชั่น 290 บาทและมีแบบเสื้อ 3D ราคาแค่ 350 บาท ร้านค้าในนี้มีแต่ของราคาถูกทั้งนั้น ซื้อขายง่ายขายคล่องมากทีเดียว
เอเชียทีคเดอะริเวอร์ฟร้อนท์
เอเชียทีคเดอะริเวอร์ฟร้อนท์
เอเชียทีคเดอะริเวอร์ฟร้อนท์
เอเชียทีคเดอะริเวอร์ฟร้อนท์

การมาเที่ยวที่นี่ใช้เวลาอยู่เกือบจะปิด หลังจากนั้นก็หาที่อยู่ต่อไม่ได้ก็เลยหาข้อมูลต่อ ว่ามีที่ไหนที่เหมือนว่าจะเปิด 24 ชั่วโมงบ้าง และได้ไปเจอกับร้านคาเฟ่ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ก็เลยเดินทางต่อไปยังที่ร้าน “too fast to sleep” ผมนั่งรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างจากเอเชียทีคเดอะริเวอร์ฟรอนท์

ไปยังร้าน too fast to sleep ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีได้ ร้านจะตั้งอยู่บริเวณมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จตุจักร นั้นเองเมื่อเข้าไปที่ร้านก็สั่งกาแฟอเมริกาโน่อย่างเดียวเพื่อไม่ให้ตัวเองนอนหลับ แล้วก็เอางานที่ยังทำไม่เสร็จขึ้นมาทำให้เสร็จ โชคดีที่เป็นเด็กที่เตรียมพร้อมตลอดเวลา

เลยเตรียม notebook ขึ้นมาทำ จำได้เลยว่าวันนั้นสั่งอเมริกาโน 1 แก้ว และลาเต้ อีก 2 แก้ว  ซึ่งได้ใช้เวลาอยู่ในคาเฟ่นั้นเกือบ3 ชั่วโมง  และคิดว่าถ้านั่งต่อไปคงไม่มีอะไรทำได้แน่ๆ เลยตัดสินใจเดินทางไปสถานีหัวลำโพงเพื่อขึ้นรถไฟมาลงที่ลพบุรี นั่นเป็นการหนีออกจากบ้านที่ใกล้ที่สุดและสนุกที่สุด

ติดตามสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจได้ที่ Focus on travel
เวปไซด์ focusontour.co